คุณดรณ์ มสธ. สอบภาคปฏิบัติ รุ่น 38 ได้ 84 คะแนน

คุณดรณ์ มสธ. สอบภาคปฏิบัติ รุ่น 38 ได้สูงสุด 84 คะแนน ได้รับรางวัลเป็น iPad

คุณดรณ์ มสธ. สอบใบอนุญาตให้เป็นทนายความ ภาคปฏิบัติ รุ่น 38 ได้คะแนนสูงสุด 84 คะแนน ได้รับรางวัลเป็น iPad จากอาจารย์เป้และอาจารย์ตูน ยินดีด้วยครับ

*****************************

อ่านต่อ

อ.เป้ & อ.ตูน เปิดรอบพิเศษให้กับนักเรียนตั๋วปี 1/56

อ.เป้ & อ.ตูน เปิดรอบพิเศษให้กับนักเรียนตั๋วปี 1/56 มาเรียนฟรี !!! ที่ “สาขาลาดพร้าว” ดังนี้ครับ

– คอร์สพิเศษปรนัยตั๋วปี?? 😕 ส. 6 ก.ค.56 (VDO) 9.00-19.00น. พร้อมรับชีทชุด 10 (เนื้อหานี้ออกข้อสอบ 10-15 คะแนน)

– คอร์สพิเศษติวสรุปตั๋วปี : อา. 7 ก.ค.56 (VDO) 9.00-19.00น. พร้อมรับชีทชุด?? 9 (เนื้อหาเดียวกับวันศ. 5 ก.ค.56 สอนสด)

สอบถาม/สำรองที่นั่งโทร 086-987-5678

www.SmartLawTutor.com

อ่านต่อ

“เงินเดือนก้อนแรก” จะบริหารอย่างไร

“เงินเดือนก้อนแรก” จะบริหารอย่างไร

เมื่อได้รับเงินเดือนก้อนแรก แน่นอนว่าทุกคนจะต้องดีใจ ภูมิใจ และมีความสุข แต่คำถามที่ตามมาด้วยเสมอคือ คุณจะใช้เงินเดือนก้อนแรกนี้อย่างไร

บางคนก็นำไปให้คุณพ่อคุณแม่ บางคนก็นำไปซื้อของที่อยากได้ บางคนก็นำไปใช้ท่องเที่ยว บางคนก็ไปกินอาหารอร่อย บางคนก็ฝากธนาคาร

ถ้าถามว่าการใช้แบบนี้ผิดมั้ยก็คงตอบว่า “ไม่ผิด” เพราะมันเป็นเงินของคุณ แต่ถ้าถามว่าถูกมั้ยก็ต้องว่า “ไม่ถูก” ตามหลักการบริหารเงินสู่ “อิสรภาพทางการเงิน”

ประเด็นก็คือ คุณควรจะบริหารเงินเดือนก้อนแรกนี้อย่างไรจึงจะถูกต้อง

เมื่อได้เงินมา สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ “การออมเงิน” ส่วนที่เหลือจากการออมจึงนำไปใช้จ่าย อย่าใช้จ่ายก่อนออมเด็ดขาดเพราะสุดท้ายแล้วคุณอาจจะไม่เหลือเงินออมเลย บางทีคุณอาจจะมีหนี้และดอกเบี้ยเป็นของแถมด้วยซ้ำ

การออมเงินนั้นมีหลักง่ายๆ แต่ปฏิบัติยากมากๆดังนี้ครับ

1.คุณจะต้องแยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีสำหรับใช้จ่าย

2.คุณต้องมีวินัย เช่น ต้องแบ่งเงินออมทันทีเมื่อได้รับเงิน และต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะออมเดือนละกี่บาท คนทั่วไปควรออมอย่างน้อย 10% ของรายได้ (โดยส่วนตัวแล้วผมออมเงิน 50-70% เพราะผมไม่คิดจะทำแบบคนทั่วไป เพราะผมมีเป้าหมายคือ “อิสรภาพทางการเงิน” ในเบื้องต้นขอให้คุณออมเงินที่ 10-30% ต่อเดือนก่อน)

ในการออมเงินนั้น คุณจะต้องแบ่งส่วนเงินออมออกเป็นกองๆเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และระยะเวลาของการออมเงินแต่ละกองให้ชัดเจนอีกด้วย เช่น 1.ออมฉุกเฉิน 2.ออมเพื่อการศึกษา 3.ออมเพื่อการลงทุน 4.ออมซื้อบ้าน/คอนโดเพื่ออยู่อาศัย เป็นต้น

เราควรออมเงินกองใดก่อนเป็นอันดับแรก

เงินออมที่ทุกควรมีเป็นอันดับแรกคือ “เงินออมฉุกเฉิน” ซึ่งหมายถึง เงินออมที่มีไว้ใช้จ่ายในกรณีที่คุณมีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยไม่คาดคิด เช่น เมื่อคุณเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ เงินหาย หรือตกงาน เป็นต้น

เงินออมฉุกเฉิน คุณควรจะมีอย่างน้อย 3-6 เดือนของ “รายได้” เช่น ถ้าคุณมีเงินเดือน 15,000บาท คุณก็ควรมีเงินออมฉุกเฉินเริ่มต้นที่ 45,000-90,000บาท หากคุณออมเงิน 10% = 1,500บาท/เดือน คุณจะต้องใช้เวลา 30-60 เดือนจึงจะถึงเป้าหมาย ซึ่งผมคิดว่าช้าเกินไป

หากคุณต้องการถึงเป้าหมายเร็วขึ้นก็สามารถทำได้ง่ายๆด้วยการ “เพิ่มสัดส่วนการออม” เช่น เพิ่มการออมเงินจาก 10% เป็น 30% = 5,000บ./เดือน คุณจะสามารถออมเงิน 45,000-90,000บาทได้ภายในเวลา 9 – 18 เดือน

เงินออมฉุกเฉินนี้สำคัญมาก เพราะเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน คุณก็ยังมีเงินสำรองเพียงพอที่จะใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องกลับไปขอพ่อแม่ หรือขอยืมเพื่อน หรือไปกู้เงินนอกระบบ ทำให้คุณมีความมั่นใจในการออมเงินกองต่อๆไปมากยิ่งขึ้น

เมื่อคุณมีเงินออมฉุกเฉินจนถึงเกณฑ์มาตรฐานแล้ว สิ่งที่คุณจะต้องคิดและทำต่อไปก็คือการออมเงินในกองอื่นๆ เช่น ออมเงินเพื่อการศึกษา หรือ ออมเงินเพื่อการลงทุน เป็นต้น

สำหรับการออมเงินเพื่อการศึกษา คุณไม่ควรจำกัดตัวเองเฉพาะการเรียนต่อปริญญาโทหรือปริญญาเอกเท่านั้น เพียงแค่คุณแบ่ง 200-300บาท/เดือน มาซื้อหนังสืออ่าน 1 เล่ม/เดือน ทำแบบนี้ทุกเดือนคุณก็จะได้อ่านหนังสือ 12 เล่ม/ปี ช่วยให้คุณมีความรู้มากกว่าคนในวัยเดียวกันหลายเท่าแล้ว

สำหรับผมแล้ว ความรู้ดีๆและฟรีๆมีมากมายบนอินเทอร์เน็ต อยากรู้อะไรก็ใช้ Google ค้นหา หรือดูคลิปวิดิโอบน Youtube เป็นต้น

ส่วน “เงินออมเพื่อการลงทุน” ไม่ว่าจะในกองทุนรวม หุ้น ทองคำแท่ง หรืออสังหาริมทรัพย์ คุณจะต้องมีเงินอีกกองหนึ่งไปใช้ลงทุนแยกต่างหากจากกองเงินออมฉุกเฉิน
หรือที่นิยมเรียกกันว่า “เงินเย็น” เพราะคุณจำเป็นต้องใช้จังหวะเวลากับโอกาสในการลงทุน

หากคุณมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นในระหว่างการลงทุน คุณก็เพียงนำเงินออมฉุกเฉินออกมาใช้จ่ายซึ่งจะไม่กระทบต่อแผนการลงทุนของคุณเลย ในทางกลับกัน หากคุณไม่มีเงินออมฉุกเฉินเลยหรือมีแต่ไม่มากพอ คุณอาจจะต้องขายทรัพย์สินที่ลงทุนไว้เพื่อนำเงินมาใช้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งจะทำให้คุณเสียแผนและเสียเป้าหมายในการลงทุนได้ (แต่ก็ยังดีกว่าต้องกลับไปขอเงินพ่อแม่ ขอยืมเพื่อน หรือกู้เงินนอกระบบจริงมั้ยครับ)

หากคุณต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากในกองทุนรวม หุ้น ทองคำแท่ง และอสังหาริมทรัพย์ ผมจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป ตอนนี้ให้เวลาคุณออมเงินฉุกเฉินไปพลางก่อนนะครับ

หลังจากนี้บทความของผมจะไม่ได้มีแค่กฎหมายด้านเดียวแล้วนะครับ แต่จะเพิ่มเติมเรื่องการออมเงิน การลงทุน และการประกันชีวิต ให้ด้วย เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ติดตามไม่มากก็น้อย

ขอบคุณที่ติดตาม คลิ้ก Like และ Share บทความของผมครับ

อ่านต่อ

คอนโดรีเจ้นท์โฮม 2 (สะพานใหม่)

15697_118532314827547_2762202_n

คลิ้กที่นี่เพื่อดูอัลบั้มรูป
ขาย/ให้เช่า : คอนโดรีเจ้นท์โฮมอาคาร 2 ชั้น 3 ซอยพหลโยธิน 67/1 ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. ปากซอยมีร้านถ่ายรูปโกดัคและคลีนิคตา 2000 เดินทางสะดวกมีรถประจำทางและรถตู้ผ่านหลายสาย กำลังสร้างรถไฟฟ้า ห้องพื้นที่ขนาดประมาณ 30 ตรม.  มีแอร์ฯ, ห้องน้ำ, ห้องครัว(แยก), ระเบียง, มีเฟอร์นิเจอร์, ตู้เย็น, โทรทัศน์ ที่จอดรถฟรี รปภ.24ชม.
สถานที่ใกล้เคียง > ห้างโลตัสหลักสี่, บิ๊กซีสะพานใหม่, เซ็นทรัลรามอินทรา, โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล, ม.เกษมบัณฑิต, มรภ.พระนคร, วัดพระศรีฯตลาดยิ่งเจริญ, ม.ศรีปทุม
สอบถาม/นัดดูสถานที่โทร 086-812-5678, LINE ID : @smartlawagent
อ่านต่อ

กฎ 10 ข้อ สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จ (ตามแนวคิดของอ.เป้

25560120-103644.jpg

กฎ 10 ข้อ สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จ (ตามแนวคิดของอ.เป้)

1.ค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ถามตัวเองว่าอยากได้อะไร อยากมีอะไร อยากเป็นอะไร (ถ้าคุณคิดว่าความอยากมีอยากได้อยากเป็นนั้นเป็นกิเลสเป็นสิ่งไม่ดี แนะนำให้ไปบวชที่เหลือไม่ต้องอ่านต่อ)

2.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าอยากได้อะไร อยากมีอะไร อยากเป็นอะไร เช่น ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้พิพากษา หรืออัยการ หรือเป็นทนายเงินล้าน หรือเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น

3.กำหนดระยะเวลาว่าต้องการไปถึงเป้าหมายนั้นเมื่อไหร่ โดยระบุวันเดือนปีให้ชัดเจน พยายามระบุเวลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะ “เป็นไปได้” จำไว้ว่ายิ่งกำหนดเร็วยิ่งต้องขยัน ยิ่งกำหนดช้ายิ่งเรื่อยเปื่อย

4.กำหนดแผนการที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายนั้น คนทั่วไปจะชอบสอบถามแผนการจากคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้วซึ่งก็มีข้อดีคือไม่เหนื่อยไม่เสียเวลา แต่สำหรับผมแล้วผมชอบคิดแผนการเองมากกว่าแม้จะเหนื่อย แม้อาจเสียเวลาลองผิดลองถูก แต่ถ้าทำสำเร็จผมจะภูมิใจมากและจะรู้ข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีทำให้บรรลุเป้าหมายต่อไปได้ง่ายขึ้น

5.ลงมือทำตามแผนที่คิดไว้ โดยให้ลงมือทำ “เดี๋ยวนี้” ไม่ใช่ “เดี๋ยวก่อน” ให้เริ่มต้นทำจากสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน “อย่ารออนาคต แต่จงสร้างอนาคตขึ้นมา”

6.รักษาความตั้งใจไว้ให้ดี ไม่ลดเป้าหมายง่ายๆเว้นแต่จะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ไม่เปลี่ยนแผนการง่ายๆเว้นแต่จะพิสูจน์แล้วว่าไม่เวิร์คแน่ๆ

สำหรับผมแล้วคนที่มีความมุ่งมั่นไม่ควรเปลี่ยนเป้าหมายหรือแผนการเลยด้วยซ้ำ หากเปลี่ยนคุณจะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่คิดหรือสิ่งที่ทำมันถูกต้องจริงๆหรือไม่

อย่าลืมว่าความสำเร็จต้องเป็นเรื่องคนทั่วไปคิดว่าทำไม่ได้แน่หรือเป็นไปได้ยาก

7.หาที่ปรึกษาไว้ถามเวลามีปัญหา โดยมีเงื่อนไขว่าที่ปรึกษาคนนั้นต้องประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นแล้วเท่านั้น

ถ้าหาที่ปรึกษาไม่ได้ผมมีอีกวิธีหนึ่งคือให้ถามคนทั่วไปหรือคนที่ล้มเหลวว่าเค้าคิดอย่างไรแล้วทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

8.หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จำไว้ว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว การมีคนช่วยคิดหรือเชื่อมั่นในความคิดของเราจะช่วยให้เรามีกำลังใจและมีความมั่นใจที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จ ข้อนี้ถ้ามีก็ดีมาก ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรเพียงแค่ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น

ผมโชคดีที่มีอ.ตูนเชื่อมั่นในตัวผมตั้งแต่วันที่ผมมีรายได้ 4,000บ./เดือน ในวันนั้นผมยังไม่อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าไม่มีอ.ตูนคอยให้กำลังใจคอยช่วยคิดผมอาจตะไม่มีวันนี้ก็ได้

9.อย่าไขว้เขว้ เมื่อเรามีเป้าหมายแล้วลองเล่าเป้าหมายให้ใครสักคนหนึ่งฟัง แน่นอนว่าต้องมีทั้งคนว่า “คุณทำได้แน่” และต้องมีบางคนบอกว่า “คุณทำไม่ได้หรอก” หรือ “เป็นไปไม่ได้หรอก” หรือ “มันเป็นไปได้ยากนะ” ถ้าเจอ 3 คำหลังให้ยิ้มและบอกตัวเองว่า “ความสำเร็จต้องเป็นสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าทำไม่ได้หรือเป็นไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากเท่านั้น”

10.แบ่งปัน คนจะประสบความสำเร็จได้จิตใจต้องกว้าง ต้องรู้จักให้ ต้องพยายามคิดว่าถ้าเราประสบความสำเร็จแล้วเราจะกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่อย่างไร แบ่งปันสิ่งดีๆให้กับคนอื่นอย่างไร การให้จะช่วยให้ความคิดและจิตใจของเรามีพลังเพิ่มขึ้น

หลายคนชอบเพลง Live and Learn ที่บอกว่า “อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝันและทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด”

แต่ผมกลับคิดตรงกันข้ามว่า “อยู่กับสิ่งที่ฝันไม่ใช่แค่สิ่งที่มี และทำความฝันนั้นให้เป็นความจริงให้เร็วที่สุด”

ขอให้ผู้อ่านประสบความสำเร็จครับผม

ถ้าเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ ช่วยคลิ้ก Like หรือ Share ให้เพื่อนๆของคุณได้อ่านด้วยนะครับ

อ่านต่อ

การค้นหาเป้าหมายชีวิตของอ.เป้ ตอนที่ 2

ตอนที่ 2 กล้าที่จะ “เสี่ยง” และกล้าที่จะ “เปลี่ยน”

ผมคิดว่าสิ่งที่จะช่วยให้คุณค้นหาเป้าหมายชีวิตได้ดีที่สุดคือ “ประสบการณ์” ซึ่งอาจจะเป็นประสบการณ์ของที่คุณพบเห็นมาด้วยตนเองเอง หรือเป็นประสบการณ์ของคนอื่นที่มาเล่าให้คุณฟังอีกทอดหนึ่งก็ได้ครับ

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีคุณพ่อเป็นผู้พิพากษา คุณย่อมรู้ดีว่าการเป็นผู้พิพากษามีข้อดีอย่างไร และมีข้อเสียอย่างไร และคุณจะรู้ได้เองว่าอยากเป็นผู้พิพากษาหรือไม่ ถ้าใช่ก็ตั้งใจเรียนนิติศาสตร์ต่อไป ถ้าไม่ใช่คุณก็ต้องไปเรียนสายอื่น (ถ้าคุณพ่อของคุณยอมนะ อิอิ)

ในประสบการณ์จากครอบครัวของผม

ก่อนผมเกิดแม่เคยเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หลังคลอดผมแม่มาทำรับจ้างซักรีดเลี้ยงดูผมจนเรียนจบ

ส่วนพ่อ ก่อนผมเกิดพ่อมีอาชีพเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเช่นกัน หลังผมเกิดพ่อเป็นช่างรับจ้างทั่วไป รับเหมาก่อสร้าง ช่วงสุดท้ายก่อนพ่อเสียชีวิต พ่อมาช่วยแม่ทำรับจ้างซักรีด

อาชีพของพ่อและแม่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่มียศตำแหน่ง ไม่มีประกันสังคม ไม่มีสวัสดิการใดๆ
ทั้งพ่อและแม่อยากให้ผมมีอาชีพที่ดีกว่าที่ท่านทำ พ่อเคยบอกว่าอยากให้ทำงาน “นั่งโต๊ะ” เสียดายที่พ่อไม่ได้อยู่ดูผมในวันนี้

จะเห็นได้ว่า ในครอบครัวของผมไม่มีใครประกอบอาชีพทางด้านกฎหมายเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา พนักงานอัยการ ตำรวจ หรือทนายความ

แล้วผมมาเรียน “นิติศาสตร์” ได้อย่างไรล่ะ

ตอนที่ 1 ผมเล่าค้างไว้ว่า ผมสอบเข้ามรภ.พระนคร สาขาการโรงแรม เรียนไปได้ 1 เทอมรู้สึกว่าทางนี้ “ไม่ใช่และไม่ชอบ” จึงต้องคิดหาทางออกว่าจะทำอะไรกับชีวิตต่อไป

ผมโชคดีที่มี “กู๋ชา” น้าชายของผมซึ่งเป็นข้าราชการจบป.โท จุฬาฯ และป.โท ประเทศเนเธอร์เลนด์ โดยเป็นวิศวกรทางด้านน้ำ ได้ให้คำแนะนำกับผมว่าให้ผมมาเรียน “นิติศาสตร์ม.รามคำแหง ” (คำแนะนำช่างไม่เกี่ยวกับงานของกู๋ชาเลยสักนิด 555)

กู๋ชาให้เหตุผลว่า นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง เข้าง่าย สมัครได้เลย ไม่ต้องสอบ (อันนี้จริง) พอจบมาแล้วหางานง่ายทำได้ทั้งราชการและเอกชน (อันนี้จริงรึป่าว ชักไม่แน่ใจ) “แต่จบยากหน่อยนะ”

อืม พอผมได้ยินคำว่า “จบยากหน่อยนะ” เสียงจาก “ความคิด” ของผมแบ่งเป็น 2 ด้าน

ด้านแรกเป็น “ด้านฝ่อ” บอกว่า เฮ้ย !!! แล้วเอ็งจะเรียนไหวเหรอ จะท่องจำได้เหรอ ปกติไม่ชอบท่องจำนี่นา ไอคิวก็ไม่ดี อ่านหนังสือก็ช้า จำก็ไม่แม่น ข้อสอบเป็นข้อเขียนด้วย จะให้เขียนอะไรล่ะ จะเรียนกี่ปีอ่ะ แปดปีจะจบมั้ย ถ้าเรียนไม่จบล่ะ บลาๆๆๆๆ -*-

ด้านที่สองเป็นเสียงจาก “ด้านเฟี้ยว” บอกว่า เอาน่า !!! ลองเรียนดูก่อนเถอะ เอ็งไม่มีอะไรให้เสียไปกว่านี้แล้ว เงินก็ไม่มี นามสกุลก็ไม่ดัง หน้าตาก็บ้านๆ เค้าบอกว่ามันยากถ้าเอ็งจบได้นี่เฟี้ยวมากเลยนะ แถมหางานง่ายด้วย (เพิ่งมารู้ตอนเรียนจบว่า ไม่จริง 555)

เอาล่ะ ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจ ผมเลือกที่จะเชื่อเสียงจาก “ด้านเฟี้ยว” เพราะผมคิดว่าว่า ต้นทุนของผมคือศูนย์ หากเรียนนิติศาสตร์ ม.รามคำแหงไม่จบ หรือจบช้าเกิน 4 ปี ถือว่าเป็นไปตามที่คนอื่นคาดไว้ แต่ถ้าผมวามารถเรียนจบได้ก่อนหรือภายใน 4 ปีถือว่า “เฟี้ยวมาก” พลิกความคาดหมายอย่างแรงเลยทีเดียว ยืดได้เต็มที่เลยคราวนี้

ผมจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ในภาค 2 ปี 2544

เมื่อเข้าสู่รั้วม.รามคำแหงแล้ว ชีวิตผมมีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ต้องลำบากมากขึ้น อดทนมากขึ้น ขยันมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น

ผมต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับการเรียนนิติศาสตร์ให้ได้ จากไม่ชอบไปเรียนก็ต้องไป จากไม่ชอบอ่านหนังสือก็ต้องอ่าน จากไม่ชอบท่องจำก็ต้องท่อง จากไม่ชอบเขียนก็ต้องฝึกเขียน บังคับตัวเองให้ทำทุกอย่างเพื่อให้สอบผ่าน

ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ฉลาดและชอบทำอะไรด้วยความคิดตัวเอง ทำให้ผมจะปรับตัวได้ช้า ช่วงแรกๆสอบได้แค่ P (ผ่าน) มารู้เทคนิคเก็บ G (Good) ในช่วงท้ายๆ โดยเฉพาะวิชายากๆ ทำให้เกรดเฉลี่ยไม่ถึงสาม แต่ผมก็สามารถจบนิติศาสตร์ ม.รามคำแหงได้ภายในเวลา 3 ปี และนำเทคนิคนั้นมาใช้กับการสอบเนติบัณฑิตไทยทำให้ผมเป็นเนติบัณฑิตไทยได้ภายใน 1 ปี

เมื่อผมสามารถเรียนจบนิติศาสตร์และสอบผ่านเป็นเนติบัณฑิตไทยได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เสียงจากคนเริ่มข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นคำชื่นชม ให้ความเชื่อถือ และรับฟังผมแนวคิดของผมมากขึ้น

ผมทำอย่างไรล่ะ ผมถึงเปลี่ยนจาก “คนไม่มีอนาคต” กลายเป็นคนที่สามารถเรียนจบนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ภายในเวลา 3 ปี และจบเนติฯ ภายใน 1 ปี

ประการแรกคือ เมื่อเรียนนิติศาสต์แล้วผมรู้สึกว่า “ชอบและใช่” แม้จะต้องอ่านมาก ท่องมาก แต่ทุกอย่างที่อ่านที่ท่องล้วนเป็นประโยชน์และสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ทั้งสิ้น ต่างจากเนื้อหาที่เรียนตอนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ให้ผมเรียนเยอะจนจับต้นชนปลายไม่ถูกและนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงไม่ถูกจึงไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร

ประการที่สอง ผมต้องการลบคำสบประมาทคำดูถูกที่คนอื่นคิดว่าผมเรียนเรียนแปดปีไม่จบแน่ ผมจึงตั้ง “เป้าหมาย” ว่าจะเรียนป.ตรีนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ให้จบภายใน 3 ปี และสอบเนติบัณฑิตไทยให้ได้ภายใน 1 ปี (สำหรับผมแล้ว คำดูถูกคือแรงผลักดันที่มีพลังยิ่งใหญ่มากๆครับ ในชีวิตผมโดนคำดูถูกมากมาย และผมจะพยามอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาชนะคนที่ดูถูกผม)

ประการที่สาม ผมมีการคิดวางแผนที่ดีว่าจะทำอย่างไรให้จบป.ตรี นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ภายใน 3 ปี และจบเนติบัณฑิตไทย ภายใน 1 ปี ผมจะต้องลงทะเบียนกี่หน่วย กี่วิชา จะเรียนอย่างไรให้ครบทุก Sec จะอ่านหนังสือวันละกี่ชั่วโมง จะเรียนสัปดาห์ละกี่วัน จะฝึกทำข้อสอบเก่ากี่สมัย จะท่องตัวบทวันละกี่มาตรา จะพักผ่อนสัปดาห์ละกี่วัน วันพักผ่อนจะทำกิจกรรมอะไร เป็นต้น (รายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคการเรียนผมขออนุญาตเขียนในบทความอื่นนะครับ)

สรุปก็คือ เมื่อผมรู้ว่าชอบนิติศาสตร์ ผมจึงเรียนรู้ที่จะตั้งเป้าหมาย วางแผน และทำตามแผน สุดท้ายเป้าหมายของผมก็สำเร็จตามแผนที่ผมคิดไว้

ผมลองคิดย้อนกลับไปว่า ถ้าวันที่ผมรู้ตัวแล้วว่า ผมไม่ชอบเรียนสาขาการโรงแรม แต่ผมยังคงฝืนเรียนต่อไปจนจบ ไม่กล้าที่จะเสี่ยง ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วสิ่งที่ทำอยู่ “ไม่ชอบ” และ “ไม่ใช่” ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร

ผมอาจจะมีชีวิตที่ดีในสายงานของการโรงแรมก็ได้ เช่น ผมอาจจะได้เป็นผู้จัดการโรงแรมใหญ่ๆสักแห่ง เงินเดือน 80,000-100,000บ. มีสวัสดิการดีๆ เก็บเงินโบนัสและโอทีมาลงทุนโดยมีความฝันว่าจะได้เป็นเจ้าของโรงแรมและสร้างสาขาไปทั่วประเทศ

หรือชีวิตผมอาจจะเป็นพนักงานโรงแรมธรรมดาๆคนหนึ่ง คอยเปิดปิดประตู ปูเตียง ชงชา เสิร์ฟกาแฟและอาหารเช้า เงินเดือนพอกินพอใช้ มีประกันสังคม และแม่ผมยังต้องรับจ้างซักรีดต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้

ดังนั้น ถ้าผม “ไม่กล้าที่จะเสี่ยง” และ “ไม่กล้าที่จะเปลี่ยน” ชีวิตผมจะเป็นแบบไหนคงไม่มีใครตอบได้ แต่ที่ผมสามารถตอบได้แน่ๆคือ ชีวิตของผมมีความสุขอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ได้เพราะผม “กล้าที่จะเสี่ยง” และ “กล้าที่จะเปลี่ยน” จากสิ่งที่ไม่ใช่และสิ่งที่ไม่ชอบมาเป็นสิ่งที่ใช่และสิ่งที่ชอบ

สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ลำพังแค่ฟังคำแนะนำของคนอื่นยังไม่พอหรอกครับ คุณต้อง “ลงมือทำ” ด้วยคุณถึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นใช่หรือไม่ใช่ ชอบหรือไม่ชอบ

ตัวอย่างเช่น คุณมีเพื่อนคนหนึ่งเคยไปเที่ยวอลาสก้า เค้าเล่าให้คุณฟังว่า “อลาสก้าหนาวมาก” พร้อมเอารูปถ่ายให้คุณดู แม้คุณจะเชื่อเพื่อนว่าอลาสก้าหนาวมาก” เพราะใครๆก็รู้ว่าอลาสก้าหนาวมาก แต่ตราบใดที่คุณยังไม่เคยไปอลาสก้าคุณจะยังไม่รู้ซึ้งจริงๆหรอกว่ามันหนาวขนาดไหน ดังนั้น สิ่งที่คนอื่นแนะนำจะยังไม่เห็นผล หากคุณยังไม่ลงมือทำ

ถ้าคุณกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะเปลี่ยน และลงมือทำ เดี๋ยวคุณจะได้รู้แน่ว่า “อลาสก้าหนาวมาก” มันหนาวขนาดไหน ขอให้รู้ไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ คำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” เป็นเรื่องจริง

คำถามที่น่าคิดมากๆก็คือ ถ้าผมเปลี่ยนมาเรียนนิติศาสตร์ เวลาผ่านไปอีก 1 เทอมแล้วรู้ว่า “ไม่ใช่และไม่ชอบ” ผมจะทำอย่างไร จะฝืนเรียนนิติศาสตร์ต่อไปหรือไม่ หรือผมจะยอมเสียเวลาที่จะเสี่ยงและเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง

ผมขอยืนยันว่าคำตอบเดิมคือ ผมเลือกที่จะเสี่ยงและเลือกที่จะเปลี่ยนแม้จะต้องเสียเวลาไปอีก 1 เทอม

ทำไมถึงต้องยอมเสียเวลาล่ะ เพื่อนจะเรียนจบก่อนเรานะ

ผมคิดว่า ใครจะเรียนจบก่อนไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ใครจะประสบความสำเร็จ” ต่างหาก ที่กล่าวแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปเปรียบเทียบหรือแข่งขันกับเพื่อน แต่บทความนี้กำลังกล่าวถึง “การค้นหาเป้าหมายในชีวิตเพื่อประสบความสำเร็จ”

ผมมีความเชื่อว่า คนที่จะประสบความสำเร็จต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และเป้าหมายนั้นต้องเกิดจากการทำในสิ่งที่ใช่และสิ่งที่ชอบเท่านั้น

ส่วน “คนที่ไร้เป้าหมาย” แม้จะเรียนจบเร็ว ได้งานเร็ว แต่เค้ายังอยู่ห่างไกลจากคำว่า ประสบความสำเร็จ เพราะเค้ายังไม่รู้ว่าอะไรคือเป้าหมายของชีวิต เค้ายังไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่และอะไรคือสิ่งที่ชอบ

คนที่ไร้เป้าหมายเปรียบดั่งเรือที่รู้หน้าที่ว่าต้องออกเดินทางแต่เค้าไม่รู้ว่าจะไปทางทิศไหนได้แต่ลอยไปตามกระแสน้ำ กระแสลม ถึงฝั่งที่ไหนที่นั่นคือเป้าหมาย รอดตายหวุดหวิด

แล้วถ้าเรือของคุณลอยไปไม่ถึงฝั่งซะทีล่ะครับ ถ้าเสบียงกำลังจะหมดล่ะครับ จะอดตายอยู่กลางทะเลมั้ย หรือถ้าเจอพายุลูกใหญ่ล่ะครับ เรือของคุณจะรับมือไหวมั้ย สู้กลับมานั่งคิดหาทิศทางที่ชัดเจนแน่นอนให้กับชีวิตดีกว่ามั้ยครับ

การค้นหาเป้าหมายของชีวิตนั้น คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวัน หลายเดือน หลายปี ขึ้นอยู่กับว่าคุณจริงจังกับการค้นหาแค่ไหน แต่อย่าลืมนะครับคุณยังต้องใช้ชีวิตไปอีกหลายสิบปีนะครับ คนไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี คุณจะอดทนทำในสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายหรือใช้ชีวิตโดยไม่รู้เป้าหมายไปจนถึงอายุ 70 ปีหรือครับ

เอาล่ะครับ เมื่อคุณอ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ผมขอให้คุณตั้งสติให้ดี คิดให้ดีว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ใช่ หรือไม่

ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ชอบและใช่ ขอให้คุณวางแผนให้ดี ทำตามแผนที่วางไว้ แบบ “สุดกำลัง” เชื่อว่าวันหนึ่งเป้าหมายที่ตั้งไว้จะประสบความสำเร็จได้แน่นอนครับ (อย่าคิดว่าจะไม่สำเร็จนะครับ เดี๋ยวมันจะไม่สำเร็จตามที่คุณคิด อิอิ)

แต่ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่และไม่ชอบ คุณลองถามตัวเองดูว่า คุณกล้าที่จะเสี่ยงและกล้าที่จะเปลี่ยนหรือไม่

ถ้าคุณตอบว่า “ไม่กล้า” ผมขอยืนไว้อาลัยเพื่อแสดงความเคารพต่อการตัดสินใจของคุณเป็น 1 วินาที ผมขอย้ำอีกครั้งว่า “ผมเคารพในการตัดสินใจของคุณ” ผมขอให้คุณเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบและไม่ใช่ไปตลอดชีวิต อย่าลืมนะครับ อายุเฉลี่ย 70 ปี ถ้าปัจจุบันคุณอายุ 30 ปีเท่ากับผม คุุณอาจจะต้องอดทนทำสิ่งนั้นไปอีก 40 ปีเลยทีเดียว

ลองนึกภาพว่า ถ้าคุณเกลียดงูและจะต้องอดทนเลี้ยงงูไปตลอดชีวิต คุณจะอดทนไหวมั้ย ทำใจได้มั้ย ถ้ารับได้ หรือคิดว่าอยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักงูเอง อันนี้ก็แล้วแต่คุณนะครับ ยังไงผมก็ยังยอมรับในการตัดสินใจของคุณเสมอครับ

ถ้าคุณบอก “กล้าโว้ย” ผมขอให้คุณเริ่มคิดและค้นหาสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ใช่ “เดี๋ยวนี้” เลยครับ เมื่อค้นพบแล้ว ให้คุณคิดวางแผน และลงมือทำตามแผนที่คุณคิดไว้อย่างเคร่งครัด กำหนดวันเดือนปีที่แน่นอนว่าแผนจะสำเร็จเมื่อไหร่

ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะไปทางไหนให้ถามคนที่เค้าทำและตามไปดูเค้าทำงานครับ เช่น คุณรู้ว่าไม่อยากเรียนนิติศาสตร์แล้ว แต่ลองอยากเปลี่ยนไปเป็นทำธุรกิจให้คุณไปหาคนรู้จักที่เป็นนักธุรกิจและถามเค้าเยอะๆว่าชีวิตเป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร มีความสุขมั้ย และขอเค้าไปเที่ยวที่ทำงาน พิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของการเป็นนักธุรกิจ เดี๋ยวคุณจะเริ่มรู้เองว่าใช่หรือไม่ใช่ ชอบหรือไม่ชอบ

แต่ถ้าคุณไม่มีคนรู้จักเป็นนักธุรกิจเลย ผมแนะนำให้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับคนที่ทำธุรกิจและประสบความสำเร็จแล้วมาอ่าน หรือหาหนังมาดู หรือค้น Google ก็ได้ หรือดูวิดิโอใน Youtube ก็ได้ หรือจะไปคลิ้ก Like ที่เพจของคนที่คุณชอบก็ได้ (อย่าลืมคลิ้ก Like ให้เพจ “อาจารย์เป้” ด้วยนะค้าบ หุหุ)

แต่ถ้าคุณกำลัง “งงอยู่” คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ชอบหรือไม่ สิ่งที่ทำอยู่ใช่หรือไม่ ออกแนวเฉยๆ เรื่อยๆ ให้ทำต่อไปคุณก็ทำได้นะ แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนขอคิดดูก่อนนะ คิดแล้ว คิดอีก สุดท้ายแล้วไม่เปลี่ยนดีกว่าเพราะ “กลัว” กลัวเสียเวลา กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวจะแย่กว่าเดิม ขออยู่แบบเดิม ทำแบบเดิมไปเรื่อยๆดีกว่า เซฟๆ ชิวๆ

ถ้าเป็นแนวเฉยๆ ไม่กล้าเสี่ยงและไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ผมก็ยังเคารพในการตัดสินใจของคุณอยู่ครับ แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าผมเฉยๆกับสิ่งที่ทำอยู่ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่และไม่ชอบครับ

ทำไมสิ่งที่รู้สึกเฉยๆจึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่และไม่ใช่ชอบล่ะ

เพราะสิ่งที่ผมรู้สึก “เฉยๆ” ทำให้ผมประสบความสำเร็จไม่ได้ครับ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะเป้าหมายที่ชัดเจนและเป้าหมายต้องเป็นสิ่งที่ชอบและใช่มาแต่แรกครับ

มาถึงคนที่น่าเห็นใจที่สุด 2 ประเภท (ใช่คุณรึป่าวนะ)

1.คนที่รู้แล้วว่า สิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่และไม่ชอบ และอยากที่จะเสี่ยงและอยากที่จะเปลี่ยน แต่ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทางไหน จะมีเทคนิคอย่างไร

2.คนที่รู้แล้วว่า สิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่และไม่ชอบ แต่พ่อแม่บังคับหรือกดดันให้เรียนหรือให้ทำสิ่งนั้นต่อไป ไม่รู้จะอธิบายกับพ่อแม่อย่างไร

คนที่น่าเห็นใจทั้งสองประเภทนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร และนิติศาสตร์เป็นเส้นทางที่ผมคิดว่าใช่ที่สุดหรือชอบที่สุดแล้วหรือไม่ โปรดติดตามอ่านตอนที่ 3 ครับ

ถ้าเห็นว่า บทความนี้มีประโยชน์ช่วยคลิ้ก Like หรือ Share หรือ Tag เพื่อให้เพื่อนของคุณได้อ่านด้วยนะครับ รวมทั้งคลิ้ก Like ที่เพจด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ (^.^)

อ่านต่อ

การค้นหาเป้าหมายชีวิตของอ.เป้ ตอนที่ 1

การค้นหาเป้าหมายชีวิตของอ.เป้

ตอนที่ 1 เดินหลงทางเข้าสู่ความ “ตกต่ำ”

ผมเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทาง หลายคนออกเดินทางโดยไม่มีจุดหมาย รู้แต่เพียงว่าวันนี้ต้องเดินทางออกจากบ้านแต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน และจะไปเพื่ออะไร ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ นั่งรถโดยสารไปเรื่อยๆ ขับรถไปเรื่อยๆ (แล้วแต่ฐานะของแต่ละคน) โดยหวังว่าจะเจอสถานที่สักแห่งที่เขาพอใจ เห็นใครไปทางไหนและบอกว่าดีก็ตามเขาไป ถ้าวันนึงได้เจอสถานที่ที่พอใจก็ถือว่าโชคดีไป บางทีก็ไปเจอสถานที่ที่ไม่พอใจแต่หลงเข้าไปแล้วต้องขวนขวายหาทางออกกลับมาเริ่มต้นใหม่ เสียเวลา เสียความมั่นใจ บางทีก็เดินทางจนเหนื่อยแต่ยังไม่พบอะไรสักอย่าง การเดินทางแบบนี้ทำให้ชีวิตของเรา”ก้าวหน้าช้า”

ทำอย่างไรล่ะชีวิตถึงจะ”ก้าวหน้าเร็ว”

สั้นๆง่ายๆ ก็ต้องเริ่มต้นจากการกำหนด “เป้าหมายชีวิต” ไงครับ คนส่วนหนึ่งโชคดีโดยรู้อยู่แล้วว่าเป้าหมายของตนคืออะไร อาจเป็นเพราะหาเจอเองหรือมีคนแนะนำก็แล้วแต่

แต่ผมเชื่อว่ามีคนอีกมากมายที่ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของตนเองคืออะไร บางคนพยายามค้นหาแต่หาไม่เจอ บางคนรู้ว่าควรต้องมีเป้าหมายในชีวิตแต่ไม่สนใจที่จะค้นหา บางคนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าต้องมีเป้าหมายในชีวิต คนเหล่านี้มักจะทำแต่สิ่งที่คนอื่นบอกให้ทำหรือทำในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ถ้าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ชอบใจ (คลิ้ก like) ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณพอใจล่ะครับ คุณจะทำอย่างไร

ผมหาเป้าหมายในชีวิตได้อย่างไร

อันนี้เป็นคำถามที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาคิดนานที่สุด บางคนคิดทั้งชีวิตยังหาคำตอบให้ตัวเองยังไม่เจอ

ผมเองยังใช้เวลาค้นหาคำตอบนี้เกือบสามสิบปี

ผมเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบไร้เป้าหมายตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงเรียนจบมัธยม ช่วงนั้นคิดแต่เรื่องสนุก ไม่มีสาระ เจ้าชู้ไปเรื่อย ไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียน ไม่ทำการบ้าน ติดเกมส์ ทำตัว(และหัว)เกรียนไปวันๆ ไม่รู้ว่าเนื้อหาวิชาที่ครูสอนจะเอาไปใช้ทำอะไร สอนมาทำไมเยอะแยะ จำไม่หมด โฟกัสไม่ถูก รู้แต่ว่ามีหน้าที่เรียนก็เรียนให้จบๆไป จบแล้วต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐให้ได้นะ (สมัยนั้นใช้ระบบเอนทรานส์) ซึ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน จะเข้าคณะอะไร สาขาอะไร ตอบตัวเองไม่ได้ แถมเกรดเฉลี่ยก็แค่ 2 กว่า จะหวังจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ก็ไม่ไหว

แม่ของผมทำงานรับจ้างซักรีดมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด แม่ทำงานหนักเพราะอยากให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือสูงๆ ตอนเช้าแม่ซักผ้า ตอนบ่ายแม่รีดผ้า ตอนเย็นแม่ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งผ้าจนถึงค่ำ แม่อยากให้ผมสอบเข้าม.เกษตรศาสตร์ให้ได้ (เพราะอยู่ปากซอยบ้าน) ส่วนพ่อของผมเป็นช่างฝีมือรับจ้างทั่วไป พ่อเคยบอกผมว่าอยากให้ผมทำงาน “นั่งโต๊ะ” เสียดายที่วันนี้พ่อไม่อยู่ดูว่าผมต้องทำงานนั่งโต๊ะนานขนาดไหน 555

ในที่สุดผมก็ทำให้แม่ผิดหวัง ผมสอบไม่ติดแม้แต่ที่เดียว (ตอนเขียนผมแอบน้ำตาตกในเล็กๆ) แต่ผมยังไม่รู้สึกผิดหวังสักเท่าไหร่ (แอบด้านชานิดๆ) เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าความรู้ไม่ถึง แต่เอาล่ะชีวิตยังต้องเดินต่อ แล้วจะเดินไปทางไหนล่ะ “ไม่รู้” คือคำตอบที่มีในขณะนั้น

และแล้วผมก็ไปสอบเข้าม.ราชภัฎพระนคร สาขาการโรงแรม ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าขอให้มีที่เรียนก็พอแล้ว เรียนไปได้ 1 เทอมก็กลับมานั่งถามตัวเองอีกครั้งว่า อาชีพในสาขาการโรงแรมใช่สิ่งที่ผมต้องการรึป่าว คำตอบที่ได้คือ “ไม่ใช่” ยุ่งล่ะสิ ช้าไปแล้ว 1 เทอมจะทำอย่างไร แม่ทำงานรับจ้างซักรีดก็ลำบากอยู่แล้ว แม่จะต้องทนลำบากทำงานแบบนี้ไปอีกกี่ปี บ้านที่อยู่แม่ก็เช่ามาตั้งแต่ก่อนผมเกิด พ่อก็เสียไปแล้ว ยิ่งเราจบช้า แม่ก็ยิ่งลำบากนานขึ้น จะฝืนเรียนที่เดิมสาขาเดิมต่อไปก็รู้แล้วว่า “ไม่ใช่” จะเปลี่ยนไปเรียนที่อื่น สาขาอื่นก็ไม่รู้จะไปสอบเข้าที่ไหน ไม่รู้จะไปสอบเข้าสาขาอะไร

ถึงจุดนี้ผมบอกตัวเองว่าผมกำลังตกอยู่ในสภาพ “คนไม่มีอนาคต” อดีตก็ไม่ดี ปัจจุบันก็ไม่ดี แล้วอนาคตจะดีได้อย่างไร

(ขอขยายความตรงนี้นิดนึงว่า ที่ผมคิดว่าผมกลายเป็น “คนไม่มีอนาคต” ไม่ใช่เพราะเรียนมรภ.พระนคร สาขาการโรงแรม แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่และผมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ใช่คืออะไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันหรือสาขาที่เรียนครับ โดยส่วนตัวแล้วผมให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของสถาบันน้อยมาก)

นี่คือช่วงเวลาที่แย่สุดๆ ตกต่ำที่สุด ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ความรู้ก็น้อย ความคิดก็มืดบอด พูดอะไรก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อถือ จะไปสมัครงานอะไรก็ไม่ได้ เคยไปสมัครเป็นพนักงานร้านไอติมชื่อดังเค้ายังไม่รับผมเลย (เจ็บใจจนถึงวันนี้ แต่ก็ยังกินไอติมร้านนี้อยู่นะ 555)

ผมมีคำถามผุดขึ้นในหัวมากมาย > เมื่อไหร่ผมจะเลี้ยงดูตัวเองได้ เมื่อไหร่จะเลี้ยงดูแม่ได้ เมื่อไหร่จะได้ซื้อบ้านให้แม่อยู่ เมื่อไหร่แม่จะได้หยุดทำงานซักรีด เมื่อไหร่จะได้มีคนรักและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคงด้วยกัน คำตอบในตอนนั้นคือ “ไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้ โว้ย” T^T

นี่คือช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของผมแล้วครับ แล้วผมเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างไร ค้นหาเป้าหมายชีวิตอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

ช่วยคลิ้ก Like หรือ Share เพื่อให้กำลังใจผมด้วยนะครับ

อ่านต่อ

ลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ด้วยเงิน 1,000 บาท !!!

ลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ด้วยเงิน 1,000 บาท !!!

ในช่วงม.ค.-ก.พ.56 ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงเหลือบาทละประมาณ 22,000บาท ในขณะที่ตลาดหุ้นดัชนีพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากทำให้นักลงทุนหลายๆคนกลัวว่าตลาดหุ้นจะเกิดฟองสบู่แตกเหมือนปี 2540 ดังนั้น ผู้มีเงินออมส่วนหนึ่งจึงสนใจที่จะนำเงินมาลงทุนทองคำแทน

การลงทุนในทองคำนั้น โดยปกติจะต้องเป็นการลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ต้องซื้อขั้นต่ำ 5 บาทจึงจะไม่มีค่ากำเหน็จ และต้องเดินทางไปซื้อและขายที่เยาวราช

สำหรับผู้มีเงินออมหลักแสนหลักล้านและมีรถยนต์ส่วนตัว การเดินทางไปซื้อและขายทองคำแท่ง 5 บาทขึ้นไปที่เยาวราชอาจไม่ใช่ปัญหา เมื่อซื้อมาแล้วก็เอามาเก็บตู้เซฟไว้ที่บ้านหรือไปฝากตู้เซฟธนาคาร

แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินออมไม่มาก เช่น หลักพันหรือหลักหมื่น แต่สนใจลงทุนในทองคำแท่ง ผมมีวิธีง่ายๆมาแนะนำครับ

ร้านทองดังๆจะมีบริการที่เรียกว่า “Gold Saving” หรือ “โครงการออมทอง” โดยให้ผู้ที่สนใจนำสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาสมุดบัญชีธนาคารไปเปิดบัญชีออมทองไว้กับร้านทอง เมื่อถึงกำหนด เช่น ทุกวันที่ 1 ของเดือนร้านทองก็จะหักเงินในบัญชีเงินฝากของคุณไปซื้อทองคำแท่งโดยสะสมเป็นน้ำหนักทองเก็บไว้ เมื่อสะสมทองครบ 1 บาท คุณสามารถถอนทองออกไปได้โดยมีค่ากำเหน็จ แต่ถ้าคุณรอสะสมทองจนครบ 5 บาท แล้วถอนทองคำแท่งออกไปเชยชมที่บ้านได้โดยไม่เสียค่ากำเหน็จ หรือถ้าคุณไม่อยากถอนทองออกมาเก็บไว้ที่บ้านคุณก็สามารถสะสมทองเป็น 10 บาท 20 บาท หรือเป็นกิโลไปได้เรื่อยๆก็ได้

ที่สำคัญคือ การออมทองซึ่งต้องหักเงินในบัญชีเงินฝากของคุณนั้น คุณสามารถกำหนดจำนวนเงินได้เองโดยเริ่มต้นที่ 1,000บาท/เดือนเท่านั้น การลงทุนในทองคำด้วยวิธีการนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินออมน้อยๆเป็นอย่างยิ่ง

การออมทองแบบนี้ คุณไม่จำเป็นต้องถือเงินสดหลักแสนหลักล้านในระหว่างเดินทางไปซื้อและขายทองที่เยาวราชซึ่งอาจเสี่ยงโดนปล้นหรือโดนกรีดกระเป๋าหรือทำเงินหายระหว่างทาง เมื่อคุณซื้อแล้วคุณไม่ต้องเอาทองมาเก็บไว้ที่บ้านให้เสี่ยงโดนปล้นหรือโดนคนในบ้านขโมย ไม่ต้องเสียเงินซื้อตู้เซฟมาไว้ที่บ้าน และไม่ต้องเสียเงินเช่าตู้เซฟของธนาคาร (พี่โจรไม่ต้องเสียเวลามาแวะบ้านผมนะครับ เพราะทองไม่ได้อยู่ที่บ้าน 555)

การลงทุนในทองคำแบบ Gold Saving หรือ ออมทอง จึงมี “ข้อดี” ดังนี้ครับ

1.สะดวก ประหยัด และปลอดภัย

2. ทองคำเป็นทรัพย์สินที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้

3.การลงทุนในทองคำมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารและรอรับดอกเบี้ย โดยเฉพาะกับคนที่คิดจะลงทุนในระยะยาว คำว่า “ยาว” ในนิยามส่วนตัวของผมคือ 10 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต ลองนึกว่าตอนคุณเป็นเด็กเพิ่งจำความได้ทองคำราคากี่บาทครับ และปัจจุบันทองคำราคากี่บาทครับ แค่นี้ก็ได้คำตอบแล้วว่าการลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทนที่ดีหรือไม่

4.ราคาทองคำมักจะตรงกันข้ามตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ ในขณะที่ราคาหุ้นหรืออสังฯสูงขึ้น ราคาทองคำจะลดลง ในทางกลับกันถ้าตลาดหุ้นตกต่ำหรืออสังฯตกต่ำ แม้กระทั่งในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหรือเกิดภาวะสงคราม ทองคำจะเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากและมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การมีทองคำเก็บไว้จึงเพิ่มความอุ่นใจให้กับคุณได้เป็นอย่างมาก

สำหรับผมแล้ว ผมใช้ราคาทองคำเป็นสัญญาณจับทิศทางของตลาดหุ้นด้วย ทำให้พอเดาได้ว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง

5.ทองคำมีสภาพคล่องสูง ซื้อง่าย ขายคล่อง จำนำได้

“ข้อเสีย” ของการลงทุนในทองคำมีดังนี้ครับ

1. “ราคาผันผวน” ไปตามความต้องการของตลาด ขึ้นๆลงๆทุกวัน ถ้าใจไม่นิ่งอาจเครียดได้ เวลาผมเห็นราคาทองคำผันผวนผมจะบอกตัวเองว่า “ช่างมัน” ผมมีหน้าที่หาเงินมาเข้าบัญชีให้ทันก่อนโดนหักเท่านั้น อีก 10 ปี 20 ปี 30 ปี ผมต้องได้กำไรจากทองคำแน่ๆ เพราะผมตั้งใจจะเก็บทองคำไว้ใช้ตอนที่ลูกผมแต่งงาน ทั้งที่ตอนนี้ลูกผมยังไม่เกิดเลย 555

2. “ทองคำไม่มีดอกผล” กำไรของทองคำมาจาก “ราคา” ล้วนๆ

ในขณะที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ซื้อคอนโดหรืออาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่า คุณยังมีโอกาสได้ดอกผลคือ “ค่าเช่า” และยังได้กำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น (ถ้าคุณคิดจะขาย)

การลงทุนในหุ้นก็ยังได้ดอกผลเช่นกันคือ “เงินปันผล” รวมทั้งยังมีโอกาสได้กำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น ในการลงทุนของผมจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นมากกว่าทองคำเพราะอสังฯมีค่าเช่า หุ้นมีเงินปันผล ส่วนทองคำมีแต่ราคา แต่ผมก็จำเป็นต้องมีทองคำเก็บไว้เพราะในขณะที่ตลาดหุ้นตกต่ำ ผมยังได้กำไรจากราคาทองคำที่สูงขึ้น

เมื่ออ่านถึงจุดนี้แล้ว หากคุณสนใจลงทุนในทองคำแบบ “Gold Saving” หรือ “ออมทอง” ขอให้คุณนำสองคำนี้ไปค้นหาใน Google หรือดูวิดิโอบน Youtube คุณจะได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย และจะพบกับร้านทองที่ให้บริการ (ผมไม่บอกชื่อร้านนะครับเพราะไม่ได้ค่าโฆษณา 555)

สุดท้ายนี้ ขอให้คุณจำไว้ว่า การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลย เช่น ฝากเงินกับธนาคารรอกินดอกเบี้ย(อันน้อยนิด) ก็มิได้หมายความว่า คุณจะไม่มีความเสี่ยงใดๆเลย พูดชัดๆก็คือ คุณแพ้ “เงินเฟ้อ” ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว

หากคุณเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ ช่วยคลิ้ก Like หรือ Share บทความนี้เพื่อให้กำลังใจ “นักกฎหมาย” ที่พยายามจะให้ความรู้เรื่อง “การลงทุน” คนนี้ด้วยนะคร้าบ (^.^)

อ่านต่อ