ลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ด้วยเงิน 1,000 บาท !!!

ลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ด้วยเงิน 1,000 บาท !!!

ในช่วงม.ค.-ก.พ.56 ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงเหลือบาทละประมาณ 22,000บาท ในขณะที่ตลาดหุ้นดัชนีพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากทำให้นักลงทุนหลายๆคนกลัวว่าตลาดหุ้นจะเกิดฟองสบู่แตกเหมือนปี 2540 ดังนั้น ผู้มีเงินออมส่วนหนึ่งจึงสนใจที่จะนำเงินมาลงทุนทองคำแทน

การลงทุนในทองคำนั้น โดยปกติจะต้องเป็นการลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ต้องซื้อขั้นต่ำ 5 บาทจึงจะไม่มีค่ากำเหน็จ และต้องเดินทางไปซื้อและขายที่เยาวราช

สำหรับผู้มีเงินออมหลักแสนหลักล้านและมีรถยนต์ส่วนตัว การเดินทางไปซื้อและขายทองคำแท่ง 5 บาทขึ้นไปที่เยาวราชอาจไม่ใช่ปัญหา เมื่อซื้อมาแล้วก็เอามาเก็บตู้เซฟไว้ที่บ้านหรือไปฝากตู้เซฟธนาคาร

แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่มีเงินออมไม่มาก เช่น หลักพันหรือหลักหมื่น แต่สนใจลงทุนในทองคำแท่ง ผมมีวิธีง่ายๆมาแนะนำครับ

ร้านทองดังๆจะมีบริการที่เรียกว่า “Gold Saving” หรือ “โครงการออมทอง” โดยให้ผู้ที่สนใจนำสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาสมุดบัญชีธนาคารไปเปิดบัญชีออมทองไว้กับร้านทอง เมื่อถึงกำหนด เช่น ทุกวันที่ 1 ของเดือนร้านทองก็จะหักเงินในบัญชีเงินฝากของคุณไปซื้อทองคำแท่งโดยสะสมเป็นน้ำหนักทองเก็บไว้ เมื่อสะสมทองครบ 1 บาท คุณสามารถถอนทองออกไปได้โดยมีค่ากำเหน็จ แต่ถ้าคุณรอสะสมทองจนครบ 5 บาท แล้วถอนทองคำแท่งออกไปเชยชมที่บ้านได้โดยไม่เสียค่ากำเหน็จ หรือถ้าคุณไม่อยากถอนทองออกมาเก็บไว้ที่บ้านคุณก็สามารถสะสมทองเป็น 10 บาท 20 บาท หรือเป็นกิโลไปได้เรื่อยๆก็ได้

ที่สำคัญคือ การออมทองซึ่งต้องหักเงินในบัญชีเงินฝากของคุณนั้น คุณสามารถกำหนดจำนวนเงินได้เองโดยเริ่มต้นที่ 1,000บาท/เดือนเท่านั้น การลงทุนในทองคำด้วยวิธีการนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินออมน้อยๆเป็นอย่างยิ่ง

การออมทองแบบนี้ คุณไม่จำเป็นต้องถือเงินสดหลักแสนหลักล้านในระหว่างเดินทางไปซื้อและขายทองที่เยาวราชซึ่งอาจเสี่ยงโดนปล้นหรือโดนกรีดกระเป๋าหรือทำเงินหายระหว่างทาง เมื่อคุณซื้อแล้วคุณไม่ต้องเอาทองมาเก็บไว้ที่บ้านให้เสี่ยงโดนปล้นหรือโดนคนในบ้านขโมย ไม่ต้องเสียเงินซื้อตู้เซฟมาไว้ที่บ้าน และไม่ต้องเสียเงินเช่าตู้เซฟของธนาคาร (พี่โจรไม่ต้องเสียเวลามาแวะบ้านผมนะครับ เพราะทองไม่ได้อยู่ที่บ้าน 555)

การลงทุนในทองคำแบบ Gold Saving หรือ ออมทอง จึงมี “ข้อดี” ดังนี้ครับ

1.สะดวก ประหยัด และปลอดภัย

2. ทองคำเป็นทรัพย์สินที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้

3.การลงทุนในทองคำมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารและรอรับดอกเบี้ย โดยเฉพาะกับคนที่คิดจะลงทุนในระยะยาว คำว่า “ยาว” ในนิยามส่วนตัวของผมคือ 10 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต ลองนึกว่าตอนคุณเป็นเด็กเพิ่งจำความได้ทองคำราคากี่บาทครับ และปัจจุบันทองคำราคากี่บาทครับ แค่นี้ก็ได้คำตอบแล้วว่าการลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทนที่ดีหรือไม่

4.ราคาทองคำมักจะตรงกันข้ามตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ ในขณะที่ราคาหุ้นหรืออสังฯสูงขึ้น ราคาทองคำจะลดลง ในทางกลับกันถ้าตลาดหุ้นตกต่ำหรืออสังฯตกต่ำ แม้กระทั่งในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหรือเกิดภาวะสงคราม ทองคำจะเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากและมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การมีทองคำเก็บไว้จึงเพิ่มความอุ่นใจให้กับคุณได้เป็นอย่างมาก

สำหรับผมแล้ว ผมใช้ราคาทองคำเป็นสัญญาณจับทิศทางของตลาดหุ้นด้วย ทำให้พอเดาได้ว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง

5.ทองคำมีสภาพคล่องสูง ซื้อง่าย ขายคล่อง จำนำได้

“ข้อเสีย” ของการลงทุนในทองคำมีดังนี้ครับ

1. “ราคาผันผวน” ไปตามความต้องการของตลาด ขึ้นๆลงๆทุกวัน ถ้าใจไม่นิ่งอาจเครียดได้ เวลาผมเห็นราคาทองคำผันผวนผมจะบอกตัวเองว่า “ช่างมัน” ผมมีหน้าที่หาเงินมาเข้าบัญชีให้ทันก่อนโดนหักเท่านั้น อีก 10 ปี 20 ปี 30 ปี ผมต้องได้กำไรจากทองคำแน่ๆ เพราะผมตั้งใจจะเก็บทองคำไว้ใช้ตอนที่ลูกผมแต่งงาน ทั้งที่ตอนนี้ลูกผมยังไม่เกิดเลย 555

2. “ทองคำไม่มีดอกผล” กำไรของทองคำมาจาก “ราคา” ล้วนๆ

ในขณะที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ซื้อคอนโดหรืออาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่า คุณยังมีโอกาสได้ดอกผลคือ “ค่าเช่า” และยังได้กำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น (ถ้าคุณคิดจะขาย)

การลงทุนในหุ้นก็ยังได้ดอกผลเช่นกันคือ “เงินปันผล” รวมทั้งยังมีโอกาสได้กำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น ในการลงทุนของผมจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นมากกว่าทองคำเพราะอสังฯมีค่าเช่า หุ้นมีเงินปันผล ส่วนทองคำมีแต่ราคา แต่ผมก็จำเป็นต้องมีทองคำเก็บไว้เพราะในขณะที่ตลาดหุ้นตกต่ำ ผมยังได้กำไรจากราคาทองคำที่สูงขึ้น

เมื่ออ่านถึงจุดนี้แล้ว หากคุณสนใจลงทุนในทองคำแบบ “Gold Saving” หรือ “ออมทอง” ขอให้คุณนำสองคำนี้ไปค้นหาใน Google หรือดูวิดิโอบน Youtube คุณจะได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย และจะพบกับร้านทองที่ให้บริการ (ผมไม่บอกชื่อร้านนะครับเพราะไม่ได้ค่าโฆษณา 555)

สุดท้ายนี้ ขอให้คุณจำไว้ว่า การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลย เช่น ฝากเงินกับธนาคารรอกินดอกเบี้ย(อันน้อยนิด) ก็มิได้หมายความว่า คุณจะไม่มีความเสี่ยงใดๆเลย พูดชัดๆก็คือ คุณแพ้ “เงินเฟ้อ” ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว

หากคุณเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ ช่วยคลิ้ก Like หรือ Share บทความนี้เพื่อให้กำลังใจ “นักกฎหมาย” ที่พยายามจะให้ความรู้เรื่อง “การลงทุน” คนนี้ด้วยนะคร้าบ (^.^)

อ่านต่อ